คำว่า"พลังงานทางเลือก" มาจากภาษาอังกฤษว่า"Alternative Energy" มีนัยถึงการแสวงหา "ทางเลือกใหม่" ของระบบพลังงานที่แตกต่างไปจากระบบพลังงานเดิมที่มีอยู่ ซึ่งกินความกว้างขวาง ไม่เฉพาะในเรื่องความแตกต่างของเชื้อเพลิงที่ใช้ แต่รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการ เช่น การเปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์ที่เน้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ไปสู่ระบบการจายศูนย์ที่เน้นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก มีชุมชนและท้องถิ่นมาร่วมกันจัดการ แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว
พลังงานทดแทน
คำว่า"พลังงานทดแทน" มาจากรากศัพท์คำเดียวกับคำว่า" พลังงานทางเลือก" มักถูกใช้ในภาคราชการ เช่น กรมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ และมักมีความหมายที่เน้นไปทางเทคนิค
ปัจจุบัน กรมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ได้รวมพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานถ่านหินเข้าไว้ในพลังงานทดแทนด้วย เพราะถือว่าทดแทนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ โดยมิได้คำนึงถึงความเหมาะสมในมิติอื่นๆ ทำให้องค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่งเลิกใช้คำนี้ไปแล้ว เพราะเป็นคำที่ถูกแย่งชิงนิยามความหมายไปในทางที่สนใจแต่ด้านเทคนิคอย่างเดียว เนื่องจากแนวคิดทางการจัดระบบไฟฟ้าของไทยเป็นลักษณะ"Predict and provide" หรือคาดการณ์ก่อนแล้วค่อยไปจัดหาไฟฟ้ามาให้ได้ตามที่คาดการณ์
ดังนั้น การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ในการวางแผนระบบไฟฟ้าแบบไทยๆ เพราะจะเป็นตัวบอกว่า ในอนาคตประเทศไทยน่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนนี้ เป็นตัวกำหนดว่า การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ จำนวนเท่าใด เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณไฟฟ้าที่คาดการณ์ในอนาคต ทั้งนี้ หากการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าถูกต้อง ก็มีส่วนช่วยให้การลงทุนในระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่ขาดไม่เกิน แต่หากพยากรณ์น้อยกว่าความเป็นจริง ก็อาจจะทำให้การลงทุนในระบบไฟฟ้าไม่เพียงพอ กับความต้องการที่มากขึ้นในอนาคต และในทางกลับกัน หากำยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้ามากเกินความเป็นจริง เราก็จะลงทุนในระบบไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น กลายเป็นภาระกับผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจได้
ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของไทย มักมีค่าเกินความเป็นจริงเสมอ และการพยากรณ์เกินจริงเช่นนี้ ยังทำให้เกิดการลงทุนล้นเกินในระบบไฟฟ้าของไทยอีกด้วย
การจัดการด้านความต้องการใช้ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2535 ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงและมีความต้องการไฟฟ้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาระต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ การจัดการด้านความต้องการไฟฟ้าจึงเป้นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการลดความจำเป็นในการเกิดโรงไฟฟ้าใหม่ๆลงมาได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่จะสร้างภาระทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไปในตัว โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การลดความต้องการใช้ไฟฟ้าลงไปหนึ่งหน่วย (เช่น หนึ่งเมกะวัตต์) จะมีต้นทุนต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เป็นอย่างมาก ในทางปฏิบัติ การจัดการด้านความต้องการใช้ไฟฟ้าทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต การปรับช่วงเวลาในการปฏิบัติงานเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าสูงสุด
นอกจากการจัดการด้านความต้องการในการใช้ไฟฟ้าแล้ว การจัดการด้านความต้องการในการลดความต้องการใช้น้ำ ลดความต้องการใช้เชื้อเพลิงได้อีกด้วย เพียงแต่อาจจะมีรายละเอียดทางเทคนิค แตกต่างกันไปบ้างเท่านั้นเอง
ชื่อผู้เขียน : เดชรัต สุขกำเนิด
ชื่อหนังสือ : พลังงาน : งานที่มีพลัง
ปีที่พิมพ์ : 1 มีนาคม 2551
ชื่อโรงพิมพ์ : บริษัท ออฟเซ็ท ครีเอชั่น จำกัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น